“ความหลังยังฝังใจ”

อดีตที่ฝังใจเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เรามักพบเจออยู่เสมอในชีวิต ความฝังใจที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่มีทั้งดีและร้าย ทุกข์หรือสุข โศกเศร้าเสียใจ เพราะการสูญเสียสิ่งที่ตนรัก หรือแม้แต่ความผิดพลาดล้มเหลวจากประสบการณ์ชีวิตในหนหลังที่ผ่านมา ใครก็ตามที่เคยมีอดีตหรือความหลังยังฝังใจติดแน่น จนสลัดให้หลุดพ้นไปจากชีวิตไม่ได้ ย่อมจะมีแต่ความทุกข์ที่เกาะติดตัว และเป็นความรู้สึกที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ ชีวิตที่ควรจะพัฒนาไปในทางที่มีความสุขก้าวหน้าไปสู่ความสดใสในชีวิตก็หยุดชะงักอยู่กับที่ ชีวิตก็จะจมปลักอยู่กับความผิดหวังเดิมๆ ซ้ำซากที่ยังเกาะติดตาติดใจอยู่อย่างไม่ลืมเลือน แม้อดีตแห่งความผิดพลาดหรือสูญเสียจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเก็บสิ่งนั้นเอาไว้ จึงยังคงเป็นสิ่งคาใจอยู่ไม่รู้ลืม ต้องหันกลับมาเริ่มหาวิธี ที่จะขจัดความหลังหรืออดีตแห่งความขมขื่นให้ออกไปจากชีวิตจิตใจของเราให้เร็วที่สุด เพราะเมื่อเหตุการณ์มันได้ผ่านไปแล้วก็เท่ากับว่าทุกอย่างจบลง แม้จะมีผลดีหรือร้ายอย่างไรมันก็คือจบ ลืมมันเสีย ปลอบใจ และให้กำลังใจตัวเอง พอทำใจได้แล้วก็เดินหน้าต่อ ใช้บทเรียนแห่งความหลังที่ฝังใจนั้นมาเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขในก้าวต่อไป อย่ายอมให้มันยังค้างคาใจโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ต้องบอกกับตัวเองว่า ความหลังในอดีตที่เลวร้าย มันเป็นเหมือนขยะสกปรก ที่ไม่สมควรจะนำมาเก็บเอาไว้ในใจของเรา…

Continue reading

“โลกนี้โลกหน้า”

ปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “การที่จะมีชีวิตก็ยากยิ่ง แต่ก็ยังอยากอยู่ ส่วนการตายนั้นง่ายและไม่ต้องดิ้นรนสู้ชีวิตอันลำเค็ญแสนเข็ญ แต่ก็ไม่มีใครอยากตาย”             เป็นเรื่องที่น่าติดตามนะครับ หลายคนก็เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ทำไมมนุษย์จึงพากันดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้การดำรงชีพหรือการทำหากินมันยากแสนเข็ญ มีแต่ความลำบากชีวิตเองก็เต็มไปด้วยขวากหนาม และความโหดร้ายจากธรรมชาติ หลายคนก็มีคำตอบที่ต่างกันทั้งแง่ลบและแง่บวก ผู้ที่เป็นปราชญ์ก็ให้ข้อคิดว่า เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เอง ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีความผูกพันกับโลกนี้ แม้จะมีอุปสรรคสารพัดมากมายเพียงใดก็จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป เพราะเหตุผลของความผูกพันโดยแท้             ดังนั้น การตายเป็นเหมือนกับความสิ้นสุดของความผูกพัน ซึ่งเป็นการแสดงออกและเป็นสัญญาณของความพ่ายแพ้ ทุกคนถือว่าชีวิตคือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ดังนั้น ถ้าใครที่พ่ายแพ้ถือว่าเป็นตัวอย่างของความอัปยศที่ไม่สมควรจะมีในผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์จึงอยู่ที่ตรงนี้เอง             ธรรมชาติดังกล่าวนี้เอง เป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์สะดุด หยุดแสวงหาความจริงของวิถีชีวิตของตนเอง…

Continue reading

“ตัดต้นหนามออกจากใจ”

การปลูกรักแท้ในชีวิตของเรา ก็เพื่อผลของความรักแท้จะนำความสุขมาสู่ทุกคนที่มีรักแท้อยู่ในหัวใจ คราวนี้เรามาเคลียร์สิ่งที่มันรกรุงรังโดยรื้อตัดทิ้งให้หมด เพื่อเตรียมปลูกรักแท้ขึ้นมาแทน สิ่งที่เราต้องจัดการตัดทิ้งให้หมดไม่ให้เหลือ แม้แต่ตอของมันก็ต้องขุดรากถอนโคนทิ้งไม่ให้เหลือไว้             ต้นที่เราจะต้องตัดทิ้งคือ ต้นหนามทั้งหลายที่มันครอบงำชีวิตจิตใจของเราตลอดมา มันเป็นหนามแห่งความเกลียดชังความเห็นแก่ตัว ราคะตัณหาแห่งเนื้อหนังสารพัดต้องตัดและขุดรากถอนโคนให้หมด เพราะต้นหนามแห่งความบาปก็คือ ต้นตอที่มาของความทุกข์ทั้งหลาย แม้ในจิตสำนึกของเราอยากจะขจัดต้นหนามของชีวิตออกให้ออกไปจากเราสักเพียงใด เราก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะมันได้ ด้วยกำลังอันอ่อนแอของเรา แต่ถ้าเราจะปล่อยให้มันเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ในชีวิตของเราต่อไป การที่เราจะปลูกรักแท้ตามความตั้งใจก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะความมืดกับความสว่างย่อมจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ พระวจนะธรรมได้บอกไว้ดังนี้ว่า “มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป” (โรม 5:12) หนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากชีวิตที่ถูกครอบงำด้วยความบาปก็คือ ทางของพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6) “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย…

Continue reading

“ก่อนนอน…ภาระหนักต้องพักไว้ก่อน”

บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องจุกจิกเกินไป ถ้าจะพูดถึงการทำให้สมองปลอดโปร่งก่อนเข้านอน แต่ความจริงแล้วเรื่องเล็กๆ อย่างนี้แหละที่ทำให้เราล้มตัวลงนอนก่อนหลับอย่างมีความสุขได้ มีหลายคนที่เคยบ่นกับผมว่า แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมประจำวันหรือภาระในแต่ละวันก็ตาม ครั้นเวลาหัวถึงหมอนกลับตาแข็งหลับไม่ลง เพราะไม่รู้สารพัดเรื่องมันมาจากไหนประดังเข้ามาเต็มสมอง ทั้งเรื่องที่น่าจะลืมหรือเรื่องที่ไม่น่าจะเก็บมาคิด มันก็รอเข้าคิวให้เราคิดอยู่เต็มไปหมดแล้วทำให้หลับไม่ลง             ช่วงเวลาที่คนเราจะได้พักผ่อนจริงๆ และอย่างเต็มที่ที่สุดก็คือช่วงเวลาที่เรานอนหลับ หลังจากที่เราทำงานหนักเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน เจออะไรที่เครียดมากมายสิ่งที่ต้องทำคือต้องพยายามเคลียร์สมองให้ปลอดโปร่งอย่าให้มีอะไรที่ทำให้เครียดเหลืออยู่เลย เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมรวมทั้งจิตใจของเราด้วยจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ปราศจากเรื่องหนักใจหรือเรื่องกวนใจใดๆ มารบกวน             ดังนั้น หากมีปัญหาเรื่องหนักใจ และกวนใจมาเป็นอุปสรรคของการพักผ่อนหลับนอนแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ ทุกวันเมื่อกลับมาถึงบ้านให้คุณหยุดคิดและหยุดกังวลถึงเรื่องงานหรือปัญหาต่างๆ ที่คุณเจอในวันนั้น แล้วพยายามพูดคุยในเรื่องเบาๆ สนุกสนานกับทุกคนในครอบครัวอย่างเต็มที่ คิดเสียว่าวันนี้มันผ่านไปแล้วสำหรับภาระความรับผิดชอบของเรา หากจะมีสิ่งใดที่ยังหลงเหลือคั่งค้างอยู่ ก็รอจัดการต่อไปในวันรุ่งขึ้น…

Continue reading

“ข้อคิดจากเศษกระดาษ”

กำลังเก็บกวาดเศษขยะภายในบ้านก็เหลือบไปเจอกระดาษแผ่นหนึ่ง หยิบขึ้นมาอ่านมีข้อความดังนี้ “ถ้าคิดว่ายังไหวจงอย่าหยุด ถ้ารู้ว่าดึงถึงที่สุดก็อย่าฝืน” เป็นหลักปรัชญาของกีฬา “ชักเย่อ” ที่แข่งขันการดึงเชือกของนักกีฬาที่อยู่คนละปลายเชือกต้องออกแรง “ดึง” สู้กับอีกฝ่ายเพื่อเอาชนะให้ได้             ถ้าจะนำมาเปรียบกับคนเราที่เป็นเหมือนนักชักเย่อที่วันต่อวันเราต้องออกแรง “ดึง” สู้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามสารพัด แม้ไม่อยากสู้ก็ตามแต่จำเป็นต้องสู้เพื่อความอยู่รอดของชีวิต หยุดหรือยอมแพ้เมื่อไรเราก็จะไม่มีที่ยืนในสังคมโลกเหมือนคนอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องสู้จนกระทั่งหมดลมหายใจโน่นแหละถึงจะหยุดได้ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงต้องมีหลักในการสู้กับชีวิต และปรัชญาแห่งการต่อสู้ของกีฬาชักเย่อก็น่าจะนำมาใช้ได้สำหรับการต่อสู้กับ “ชีวิต” ของเราบ้าง             ทุกคนที่เกิดในโลกนี้ล้วนแต่ต้องมีหน้าที่และภาระของการเป็น “นักสู้ชีวิต” โดยไม่มีเว้นแม้แต่คนเดียว เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตายของชีวิตเพื่อให้อยู่รอดปลอดภัย จากหลักปรัชญาของการต่อสู้ของนักกีฬาชักเย่อที่ผมได้พบบนแผ่นกระดาษแผ่นนั้นได้บอกเป็นข้อคิดไว้ว่า หลักของการออกแรงสู้นั้นทำอย่างไรเราจึงจะเป็นผู้ชนะได้ จะสู้อย่างไรสู้เพื่อยู่หรือสู้จนตาย? ในปรัชญานักชักเย่อบอกไว้ว่า “สู้เต็มกำลังที่เรามีอยู่…

Continue reading