เพ่งมองเป้าหมาย ละสายตาจากปัญหา และก้าวผ่านไปให้ได้ เมื่อเราปั่นจักรยาน ขับรถยนต์ เราต้องเพ่งมองทางข้างหน้า เพื่อไปให้ถึง “เป้าหมาย” และในระหว่างทางเราต้องเจอสิ่งกีดขวางที่นึกไม่ถึง ถ้าเรามองแต่จุดนั้น เราจะเคลื่อนตรงไปหามัน แต่ถ้าเรามองเลยออกไปยังเส้นทางที่จะไป เราก็จะหลบสิ่งกีดขวางนั้นได้ และถ้าเรามองจดจ่อสิ่งใด เราก็กำลังเคลื่อนเข้าไปหาสิ่งนั้น เช่นเดียวกัน เมื่อเรา “เพ่งมองเป้าหมาย” คือ จดจ่ออยู่กับปัญหาหรือความยุ่งยากที่เกิดขึ้น ชีวิตของเราก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งนั้นโดยอัตโนมัติ พระคัมภีร์หนุนใจเราให้มองผ่านปัญหา และเพ่งมองไปที่พระเจ้าผู้ทรงช่วยเราได้ ซึ่งในพระคำของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน” คำตอบคือ “ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของเราตลอดไป” หลายครั้งอุปสรรคดูยากเกินที่เราจะเอาชนะได้…

Continue reading

“เสียงครวญจากมุมมืด”

สิ่งหนึ่งที่เราจะได้ยินเข้าหูอยู่เสมอ นั่นก็คือเสียงโอดครวญจากบรรดาผู้คนที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากสารพัด เป็นสิ่งยืนยันความจริงที่ว่าชีวิตที่อยู่ในโลกนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากที่จะหาความสงบสุขในชีวิตได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่เพียงเท่านั้นมุมสว่างที่มีอยู่อย่างริบหรี่ที่พอจะทำให้เรามีความสุขได้บ้างนั้น ก็ค่อยๆ ดับหายไปทีละน้อย จนทำให้มุมมืดของสังคมเราเพิ่มเป็นวงกว้างออกไปอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้งได้             อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ทุกชีวิตในโลกนี้ผันแปรเปลี่ยนไปจากคนที่เคยอยู่ในมุม “สว่าง” กลับเดินเข้าสู่ “ความมืดมิด” และอะไรคือหนทางหรือแนวทางที่จะนำพาให้เราหลุดพ้นจากความมืดมิดดังกล่าวนี้ และกลับไปสู่ความมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสงบสุขอีกครั้งได้             ต้องย้อนกลับไปที่พระประสงค์แรกเมื่อพระเจ้าได้ทรงเนรมิตสร้างโลกนี้มานั้น แน่นอนพระเจ้าประสงค์ที่จะให้โลกนี้เป็นโลกที่มีความสุข และมีความสงบร่มเย็นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมและมีความเสมอภาคเท่าๆ กัน เป็นโลกที่มีความสมบูรณ์แบบในรูปของดินน้ำลมไฟ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ความสมบูรณ์ดังกล่าวนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามการกระทำของมนุษย์ ผิดไปจาก “แบบอย่าง” ที่พระเจ้ากำหนดไว้อย่างสิ้นเชิง คราวนี้ต้องมาดูว่า “แบบอย่าง” ที่พระเจ้าประสงค์จะให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขนั้นเป็นอย่างไร?             พระเยซูคริสต์ตรัสว่า…

Continue reading

“เมื่อถูกซุบซิบนินทา”

  เกิดเป็นคนถ้าไม่เคยโดนนินทาก็คงจะไม่ใช่คน เพราะตามความเป็นจริงทุกคนคงเคยโดนคนนินทาแล้วทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างก็สุดแต่ใครจะโดน มันก็เหมือนที่ว่า “นินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน” ตามความหมายนี้ก็คือใครอยากจะนินทาก็ปล่อยให้เขานินทาไป เพราะมันไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับเราเลยแม้แต่น้อย ก็เหมือนใครเอามีดไปกรีดหิน กรีดยังไงก็ไม่เข้าเพราะมันแข็ง นินทาก็นินทาไปเราไม่ได้เจ็บร้อนอะไรด้วยเลย             การนินทาคือ การตำหนิกล่าวหาลับหลัง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราผู้ที่ถูกนินทานั้นผิดหรือถูกยังไม่แน่ชัด แต่ก็ขอให้ได้พูดได้นินทาติเตียนไว้ก่อนเพื่อความสบายปาก ถ้าจะพูดถึงสาเหตุของการนินทาส่วนมากจะเนื่องมาจากความไม่กินเส้นกันหรือไม่ชอบขี้หน้า เช่น บางคนบางครั้งอาจจะทำตัวเด่นเกินหน้าคนอื่นไปบ้าง หรือกำลังชอบผู้หญิงหรือผู้ชายคนเดียวกันอยู่ก็เลยหาสาเหตุไปพูดเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหาย หรือไม่ก็อาจจะมีผลประโยชน์ขัดกัน หรือมีความคิดเห็นในบางเรื่องไม่เหมือนกัน มีอีกพวกหนึ่งไม่มีอะไรผิดพ้องหมองใจกันเลย เพียงแต่เป็นพวกประเภทปากอยู่ไม่สุข ถ้าได้นินทาก็จะสบายอกสบายใจ วันไหนไม่ได้นินทาใครก็คันปากไปทั้งวัน หรือบางคนชอบ “ให้ร้ายหรือใส่ร้ายป้ายสี”…

Continue reading

“ข่มตาหลับไม่ลง”

ทุกคนคงเป็นเหมือนกัน คือ เวลาที่เรามีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล เราจะหลับตานอนไม่ลง เพราะเรื่องต่างๆ เหล่านั้นที่เกิดขึ้นกับเรามันจะคอยรบกวนให้เกิดความวิตกกังวลสารพัดจนกระทั่งข่มตาหลับไม่ลง ต่อให้ง่วงยังไงก็ยังหลับไม่ลงอยู่ดี             สิ่งที่ว่านี้ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน จนทำให้กลายเป็นปัญหาที่มาของความเครียด นักจิตวิทยาบอกว่าเมื่อเราเข้านอนพอดับไฟทุกอย่างรอบตัวเราจะมีแต่ความมืดและความเงียบ ในเวลานี้เองเป็นจังหวะที่เหมาะต่อภาพแห่งปัญหาทุกข์ร้อนทั้งหลายจะเข้ามาในความคิดของเราได้อย่างชัดเจนกว่าเวลาอื่นได้ และในความชัดเจนดังกล่าวนี้จะย้ำเน้นให้เราเห็นชัดเจนทำให้เกิดสิ่งที่หนักกว่าปกติเพราะปราศจากเสียงรบกวนหรือเสียงแทรกให้เสียสมาธิ ทั้งยังมีความ “เงียบ” เข้ามาช่วย “ความมืด” อีกด้วย ก็ยิ่งเหมือนถูกบังคับให้เราคิดหนักไปในทางเลวร้ายมากกว่าเวลาปกติเสียอีก สุดท้ายก็กลายเป็นคนคิดมากเต็มไปด้วยความวิตกกังวลสารพัด ยิ่งถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งด้วยแล้วความเครียดจะเข้ามาครอบงำได้ง่าย สาเหตุที่ข่มตาหลับไม่ลงอีกอย่างก็คงจะเป็นเพราะคนที่มีความจริงจังต่อชีวิตและการทำงาน มุ่งมั่นตั้งใจต้องการจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความ “สำเร็จ” และด้วยความจริงจังนี้แหละทำให้เกิดความกังวลห่วงใยในสิ่งที่ตนกำลังทำ จนกลายเป็นความวิตกกังวลต่อความผิดพลาดล้มเหลวที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้คิดหนักคิดมากจนกระทั่งเวลาเข้านอนก็ยังข่มตาให้หลับไม่ลง จนทำให้บางคนกลายเป็นโรคนอนไม่หลับไปก็มาก             พระวจนะธรรมคัมภีร์ได้บอกถึงสาเหตุของความเหน็ดเหนื่อยจากความวิตกกังวลต่อสภาวะการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น…

Continue reading

“อดทน..กำลังใจ..สู่ชัยชนะ”

ชีวิตในแต่ละวันเราต้องพบเจอประสบการณ์มากมายหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นความสุขและที่เป็นความทุกข์ สมหวัง สบายใจหรือไม่สบายใจ เพราะเหตุนี้เราจะมีวิธีและแนวทางที่จะรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเราอย่างไร แต่สิ่งที่จะทำให้เป็นสุขนี่ก็คงไม่เท่าไร แต่สิ่งที่จะทำให้เราเป็นทุกข์นั้น คงจะต้องออกแรงมากหน่อย และยังต้องมีวิธีขจัดอุปสรรคที่เกิดทุกข์ทั้งหลายให้พ้นไปจากชีวิตของเราอีกด้วย             อุปกรณ์ที่ช่วยให้เราเอาชนะความยากลำบากในชีวิตได้มีอยู่สองสิ่งที่เป็นหลักสำคัญนั้นก็คือ ความอดทนและกำลังใจ สองสิ่งนี้จะเป็นหลักสำคัญที่จะช่วยให้เราเดินไปสู่ชัยชนะได้ สร้างให้เป็นธรรมชาติที่ติดตัวของเราตลอด พอถึงเวลาที่จะต้องใช้ก็สามารถนำออกมาใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องไปพะวงอยู่กับอุปสรรคทั้งหลายให้เสียเวลา เราจะต้องมีหน้าที่เดินหน้าโดยไม่สามารถหยุดเวลาไว้ได้ แม้ทางเดินจะเต็มไปด้วยขวากหนามแต่เราก็ต้องเดินหน้าคว้าชัยชนะของชีวิต ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราทุกคน จะช้าหรือเร็วไม่สำคัญจะนานเท่าไรก็ต้องเดินหน้า ท้าทายอุปสรรคเพื่อแลกกับชัยชนะให้ได้ ทางที่เราเดินในโลกวันนี้ทั้งมืดและทั้งแคบหนทางก็ลำบากโดยที่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในระหว่างทาง อย่ามองอุปสรรคแล้วสยบให้มัน แต่อย่าประมาทและคิดว่าเป็นเรื่องเล็กที่เราเคยผ่านมาแล้วและก็จะผ่านไปได้อีก หากคิดเช่นนี้มันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ต้องออกแรงแก้หนักเข้าไปอีกหลายเท่าตัว ต้องคิดเสมอว่า “กันดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน”            …

Continue reading