“ชีวิตที่อยู่ในอุ้งหัตถ์พระเจ้า”
เมื่อใดที่เราได้มอบชีวิตทั้งหมดให้กับพระเจ้าแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ที่จะกำหนดชีวิตตามใจต้องการของเราอีกต่อไป เพราะพระเจ้าจะทรงเป็นผู้กำหนดชีวิตของเรา โดยพระเจ้าจะทรงดูแลทุกวิถีทางของชีวิตเรา เหมือนบิดาที่ดูแลลูกที่ตนรักอย่างไร พระเจ้าก็ทรงกระทำอย่างนั้นเช่นกัน ทุกก้าวเดินของเรานั้นจะมีคำตอบจากพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราตลอดเส้นทางเดินของชีวิต ซึ่งสำหรับลูกของพระองค์ทุกอย่างจะต้องอยู่ในกรอบที่ว่า “อะไรดีอะไรเป็นที่ชอบและอะไรยอดเยี่ยม” ซึ่งพระเจ้าจะทรงร่วมมือกับคนที่รัก และเชื่อฟังให้บังเกิด “ผลอันดี” นี่คือน้ำพระทัยแผนการของพระเจ้าที่มีต่อเราทุกคน ดังนั้น ชีวิตของผู้ที่รักพระเจ้าจึงต้องขึ้นอยู่กับ “ความเชื่อและความไว้วางใจ” ในพระเจ้าเป็นหลัก ซึ่งไม่ว่าอะไรทั้งดีหรือร้ายเกิดขึ้น อันเกิดจากความผิดพลาดที่บางครั้งเราเผลอตัวขาดความเชื่อฟัง พระเจ้าก็ให้โอกาส และนำพาเรากลับสู่เส้นทางของพระองค์ที่วางไว้สำหรับเราเสมอ หน้าที่ของเรานั้นจึงต้องเชื่อวางใจในพระสัญญาของพระเจ้าอย่างคงเส้นคงวา โดยปราศจากความสงสัย เพราะความสงสัยคือ ตัวทำลายความเชื่อที่จะทำให้เราเกิดความไม่มั่นใจหรือขาดความไว้วางใจ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็มีผลกระทบต่อความเชื่อของเราได้เหมือนกัน…