“ก่อนนอน…ภาระหนักต้องพักไว้ก่อน”

บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องจุกจิกเกินไป ถ้าจะพูดถึงการทำให้สมองปลอดโปร่งก่อนเข้านอน แต่ความจริงแล้วเรื่องเล็กๆ อย่างนี้แหละที่ทำให้เราล้มตัวลงนอนก่อนหลับอย่างมีความสุขได้ มีหลายคนที่เคยบ่นกับผมว่า แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมประจำวันหรือภาระในแต่ละวันก็ตาม ครั้นเวลาหัวถึงหมอนกลับตาแข็งหลับไม่ลง เพราะไม่รู้สารพัดเรื่องมันมาจากไหนประดังเข้ามาเต็มสมอง ทั้งเรื่องที่น่าจะลืมหรือเรื่องที่ไม่น่าจะเก็บมาคิด มันก็รอเข้าคิวให้เราคิดอยู่เต็มไปหมดแล้วทำให้หลับไม่ลง             ช่วงเวลาที่คนเราจะได้พักผ่อนจริงๆ และอย่างเต็มที่ที่สุดก็คือช่วงเวลาที่เรานอนหลับ หลังจากที่เราทำงานหนักเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน เจออะไรที่เครียดมากมายสิ่งที่ต้องทำคือต้องพยายามเคลียร์สมองให้ปลอดโปร่งอย่าให้มีอะไรที่ทำให้เครียดเหลืออยู่เลย เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมรวมทั้งจิตใจของเราด้วยจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ปราศจากเรื่องหนักใจหรือเรื่องกวนใจใดๆ มารบกวน             ดังนั้น หากมีปัญหาเรื่องหนักใจ และกวนใจมาเป็นอุปสรรคของการพักผ่อนหลับนอนแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ ทุกวันเมื่อกลับมาถึงบ้านให้คุณหยุดคิดและหยุดกังวลถึงเรื่องงานหรือปัญหาต่างๆ ที่คุณเจอในวันนั้น แล้วพยายามพูดคุยในเรื่องเบาๆ สนุกสนานกับทุกคนในครอบครัวอย่างเต็มที่ คิดเสียว่าวันนี้มันผ่านไปแล้วสำหรับภาระความรับผิดชอบของเรา หากจะมีสิ่งใดที่ยังหลงเหลือคั่งค้างอยู่ ก็รอจัดการต่อไปในวันรุ่งขึ้น…

Continue reading

“ข้อคิดจากเศษกระดาษ”

กำลังเก็บกวาดเศษขยะภายในบ้านก็เหลือบไปเจอกระดาษแผ่นหนึ่ง หยิบขึ้นมาอ่านมีข้อความดังนี้ “ถ้าคิดว่ายังไหวจงอย่าหยุด ถ้ารู้ว่าดึงถึงที่สุดก็อย่าฝืน” เป็นหลักปรัชญาของกีฬา “ชักเย่อ” ที่แข่งขันการดึงเชือกของนักกีฬาที่อยู่คนละปลายเชือกต้องออกแรง “ดึง” สู้กับอีกฝ่ายเพื่อเอาชนะให้ได้             ถ้าจะนำมาเปรียบกับคนเราที่เป็นเหมือนนักชักเย่อที่วันต่อวันเราต้องออกแรง “ดึง” สู้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามสารพัด แม้ไม่อยากสู้ก็ตามแต่จำเป็นต้องสู้เพื่อความอยู่รอดของชีวิต หยุดหรือยอมแพ้เมื่อไรเราก็จะไม่มีที่ยืนในสังคมโลกเหมือนคนอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องสู้จนกระทั่งหมดลมหายใจโน่นแหละถึงจะหยุดได้ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงต้องมีหลักในการสู้กับชีวิต และปรัชญาแห่งการต่อสู้ของกีฬาชักเย่อก็น่าจะนำมาใช้ได้สำหรับการต่อสู้กับ “ชีวิต” ของเราบ้าง             ทุกคนที่เกิดในโลกนี้ล้วนแต่ต้องมีหน้าที่และภาระของการเป็น “นักสู้ชีวิต” โดยไม่มีเว้นแม้แต่คนเดียว เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตายของชีวิตเพื่อให้อยู่รอดปลอดภัย จากหลักปรัชญาของการต่อสู้ของนักกีฬาชักเย่อที่ผมได้พบบนแผ่นกระดาษแผ่นนั้นได้บอกเป็นข้อคิดไว้ว่า หลักของการออกแรงสู้นั้นทำอย่างไรเราจึงจะเป็นผู้ชนะได้ จะสู้อย่างไรสู้เพื่อยู่หรือสู้จนตาย? ในปรัชญานักชักเย่อบอกไว้ว่า “สู้เต็มกำลังที่เรามีอยู่…

Continue reading

“ยิ่งสูงวัย ยิ่งต้องรอบคอบและหนักแน่น”

วันนั้นคุณลุงวัยสูงอายุหิวจัดบึ่งมอเตอร์ไซด์ไปซื้อข้าวมันไก่เจ้าอร่อยมากล่องหนึ่ง พอถึงบ้านเปิดฝากล่องข้าวมันไก่ออกมาจะลิ้มรสของความอร่อย เมื่อเปิดฝากล่องโฟมที่ใส่ข้าวมันไก่ แกถึงกับตะลึงในกล่องมีแต่ข้าวมันแต่ไม่มีเนื้อไก่สักชิ้นเดียว ความโมโหหิวก็รีบปิดฝากล่องโดยไม่รีรอ คว้ากล่องข้าวมันไก่บึ่งไปที่ร้านขายข้าวมันไก่ทันที พอไปถึงวางกล่องลงต่อหน้าอาเฮียคนขาย ต่อว่าเสียงดังว่าขายข้าวมันไก่ยังไงเนื้อไก่ไม่มีสักชิ้นจะให้กินข้าวเปล่าๆ หรือยังไง หรือว่าตอนนี้ขายเฉพาะข้าวมันอย่างเดียวเนื้อไก่ไม่ขาย ฝ่ายอาเฮียคนขายก็ไม่โต้ตอบได้แต่ยิ้ม แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “คุณลุงอย่าเพิ่งโกรธสิครับ ผมทำทุกอย่างถูกต้อง ไอ้ที่คุณลุงว่าผมให้ไปแต่ข้าวเปล่าๆ นั้นไม่จริงเลย คุณลุงเปิดฝากล่องผิดด้านต่างหาก เมื่อคุณลุงเปิดฝากล่องด่านล่างมันก็จะเห็นแต่ข้าว ต้องเปิดฝาด้านหน้าดูสิครับ” คุณลุงนิ่งอึ้งแล้วก็ยกกล่องโฟมข้าวมันไก่ที่แกวางลงกลับด้านอยู่นั้น ผลิกกลับเอาด้านหน้าขึ้นแล้วก็เปิดฝา เนื้อไก่นุ่มๆ วางอยู่บนข้าวให้เห็นตามปกติ จริงอย่างที่อาเฮียข้าวมันไก่บอก             หลายครั้งความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้  ก็เพราะเราขาดความรอบคอบไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม จะสำคัญหรือไม่สำคัญจะเล็กหรือใหญ่ยังไงก็ต้องมีความรอบคอบเข้าไว้ เพราะความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รอบคอบทำเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องให้เป็นเรื่องเสมอ อย่างเรื่องของคุณลุงคนนี้…

Continue reading

“บำเหน็จชีวิต”

หากจะถามว่า “ใครอยากรวยยกมือขึ้น” ผมว่าทุกคนคงจะยกมือพร้อมๆ กันแน่ นี่ก็แสดงว่าทุกคนอยากจะร่ำรวยมั่งคั่งด้วยกันทั้งนั้น เพราะเราคิดว่าถ้ารวยมีเงินทองก็จะสามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ แล้วชีวิตก็จะมีแต่ความสุขความสบาย             ถ้าเราจะมาดูตามทัศนะในพระวจนะธรรมคัมภีร์แล้ว ก็จะมีทัศนะที่แตกต่างไปจากที่เราคิด แต่พระวจนะธรรมก็ไม่ได้ต่อต้านคนที่ร่ำรวย แต่สอนให้เรารู้จักแก่นสารและความสำคัญก่อนหลังในความร่ำรวยมั่งคั่งของเรา กล่าวคือแทนที่จะทุ่มเทชีวิตเพื่อการส่ำสมความร่ำรวยมั่งคั่งนั้น ก็ให้เราหันมาให้ความสำคัญต่อการส่ำสมความน่าเชื่อถือและเกียรติยศชื่อเสียงดีก่อน เพราะชื่อเสียงดีประวัติที่น่าชื่นชมจะดำรงคงอยู่ตลอดไป แต่เงินทองมีวันที่จะเสื่อมสูญไปไม่มีความจีรังยั่งยืน             ตัวอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ต่างทุ่มเทกายใจสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยมากกว่าที่จะคิดถึงคำนึงถึงชื่อเสียงและความน่านับถือในชีวิต บางคนถึงกับยอมขายตัวขายชีวิตและเกียรติยศชื่อเสียง และความเป็นคนเพียงเพื่อแลกกับความร่ำรวยที่ไม่จีรังก็มีให้เห็นมากมาย ในพระวจนะธรรมสุภาษิตกล่าวในเรื่องนี้ว่า “ชื่อเสียงดีเป็นสิ่งที่ควรเลือกยิ่งกว่าความมั่งคั่ง” (สุภาษิต 22:1) คำว่า  “ชื่อเสียงดี” จึงหมายถึงการยอมรับต่อคนที่ทำดีมีคุณธรรมจนเป็นที่ประจักษ์และยอมรับจากผู้คนทั่วไป และยังเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอีกด้วย เพราะคนดีมีคุณธรรมนั้นเขาจะมีชีวิตที่เชื่อฟังทำตามพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ…

Continue reading

“มองโลกอย่างงดงาม”

ศาสนาจารย์มาโนช แจ้งมุขเขียนไว้ในหนังสือ “ร้อยแปดพันเก้า” เกี่ยวกับคนที่มองโลกอย่างงดงามไว้ดังนี้ เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อสมชาย เป็นเจ้าของร้านอาหารที่มีอารมณ์ดีทุกเวลาและมองโลกในแง่ดี ทุกครั้งถ้ามีคนถามว่าชีวิตเป็นอย่างไร เขาจะตอบว่า “ถ้ามีแฝดอีกคนคงจะดีกว่านี้” ลูกน้องทุกคนก็รักในความเป็นผู้นำของเขา ใครมีปัญหาเขาจะอยู่ใกล้ๆ ปลอบใจ และชี้นำให้มองเห็นสิ่งดีจากเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น วันหนึ่งผมอดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้จึงถามเขาว่า “มีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่าถึงได้มีอารมณ์ดีอย่างนี้ตลอดเวลา” เขาตอบว่า “ทุกวันตอนเช้าข้าถามตัวเองว่าวันนี้จะเลือกเป็นคนอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้าย ข้าก็จะเลือกข้อหนึ่งทุกที ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น ข้าก็มีสิทธิ์ว่าจะเลือกว่าตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์หรือจะเลือกที่จะเรียนรู้จากเหตุการณ์นั้นๆ ทุกครั้งที่มีใครบ่นให้ฟัง ข้ามีสิทธิ์ที่จะรับฟังคำบ่นหรือชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ดีกว่า ข้าจะเลือกด้านดีของชีวิตเสมอ” ผมแย้งกลับไปว่า “แต่อะไรๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะสิ” เขาตอบว่า “ถูกต้องชีวิตคือการเลือก เมื่อเราตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป…

Continue reading