“ความสุขจากการให้”

เมื่อพูดถึงความสุข  ความสุขไม่ใช่ผลจากการได้รับ แต่เป็นผลจากการให้  การให้คือความสุขที่สุด ผู้ใดหยิบยื่นความสุข ให้แก่บุคคลอื่น ผู้นั้นจะได้รับความอิ่มเอมใจและความสุข   การให้ความสุข…จึงเป็นความสุขทวีคูณ  ความสุขจากการให้  เราจะไม่มีวันรู้จักความสุขที่เกิดจากการให้ว่าเป็นอย่างไร นอกจากเราต้องเป็นผู้ให้ มีผู้คนมากมายที่ไม่มีความสุข  บางคนพึ่งพาอาศัยสิ่งที่คนอื่นๆ ทำให้มากเกินไป และถ้าใครให้อะไรบางอย่างที่ดีแก่เขา เขาก็มีความสุข แต่ถ้าไม่มีใครทำอะไรให้เป็นพิเศษ เขาก็รู้สึกไม่มีความสุข แต่ผู้ที่มีความสุขที่สุดนั้น ไม่ใช่เป็นผู้ที่ได้รับสิ่งของต่างๆ แต่เป็นผู้ที่ได้ให้กับคนอื่นๆ นั่นต่างหาก การให้นอกจากทำให้เรามีความสุขแล้ว ยังช่วยขัดเกลาและปรับปรุงจิตใจของเราโดยไม่รู้ตัว  ทำให้เราเห็นแก่ตัวน้อยลง ทำให้เรามีจิตใจอ่อนโยน  และที่สำคัญทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข และพระคำของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า…

Continue reading

เพ่งมองเป้าหมาย ละสายตาจากปัญหา และก้าวผ่านไปให้ได้ เมื่อเราปั่นจักรยาน ขับรถยนต์ เราต้องเพ่งมองทางข้างหน้า เพื่อไปให้ถึง “เป้าหมาย” และในระหว่างทางเราต้องเจอสิ่งกีดขวางที่นึกไม่ถึง ถ้าเรามองแต่จุดนั้น เราจะเคลื่อนตรงไปหามัน แต่ถ้าเรามองเลยออกไปยังเส้นทางที่จะไป เราก็จะหลบสิ่งกีดขวางนั้นได้ และถ้าเรามองจดจ่อสิ่งใด เราก็กำลังเคลื่อนเข้าไปหาสิ่งนั้น เช่นเดียวกัน เมื่อเรา “เพ่งมองเป้าหมาย” คือ จดจ่ออยู่กับปัญหาหรือความยุ่งยากที่เกิดขึ้น ชีวิตของเราก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งนั้นโดยอัตโนมัติ พระคัมภีร์หนุนใจเราให้มองผ่านปัญหา และเพ่งมองไปที่พระเจ้าผู้ทรงช่วยเราได้ ซึ่งในพระคำของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน” คำตอบคือ “ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของเราตลอดไป” หลายครั้งอุปสรรคดูยากเกินที่เราจะเอาชนะได้…

Continue reading

“เสียงครวญจากมุมมืด”

สิ่งหนึ่งที่เราจะได้ยินเข้าหูอยู่เสมอ นั่นก็คือเสียงโอดครวญจากบรรดาผู้คนที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากสารพัด เป็นสิ่งยืนยันความจริงที่ว่าชีวิตที่อยู่ในโลกนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากที่จะหาความสงบสุขในชีวิตได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่เพียงเท่านั้นมุมสว่างที่มีอยู่อย่างริบหรี่ที่พอจะทำให้เรามีความสุขได้บ้างนั้น ก็ค่อยๆ ดับหายไปทีละน้อย จนทำให้มุมมืดของสังคมเราเพิ่มเป็นวงกว้างออกไปอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้งได้             อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ทุกชีวิตในโลกนี้ผันแปรเปลี่ยนไปจากคนที่เคยอยู่ในมุม “สว่าง” กลับเดินเข้าสู่ “ความมืดมิด” และอะไรคือหนทางหรือแนวทางที่จะนำพาให้เราหลุดพ้นจากความมืดมิดดังกล่าวนี้ และกลับไปสู่ความมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสงบสุขอีกครั้งได้             ต้องย้อนกลับไปที่พระประสงค์แรกเมื่อพระเจ้าได้ทรงเนรมิตสร้างโลกนี้มานั้น แน่นอนพระเจ้าประสงค์ที่จะให้โลกนี้เป็นโลกที่มีความสุข และมีความสงบร่มเย็นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมและมีความเสมอภาคเท่าๆ กัน เป็นโลกที่มีความสมบูรณ์แบบในรูปของดินน้ำลมไฟ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ความสมบูรณ์ดังกล่าวนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามการกระทำของมนุษย์ ผิดไปจาก “แบบอย่าง” ที่พระเจ้ากำหนดไว้อย่างสิ้นเชิง คราวนี้ต้องมาดูว่า “แบบอย่าง” ที่พระเจ้าประสงค์จะให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขนั้นเป็นอย่างไร?             พระเยซูคริสต์ตรัสว่า…

Continue reading

“เมื่อถูกซุบซิบนินทา”

  เกิดเป็นคนถ้าไม่เคยโดนนินทาก็คงจะไม่ใช่คน เพราะตามความเป็นจริงทุกคนคงเคยโดนคนนินทาแล้วทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างก็สุดแต่ใครจะโดน มันก็เหมือนที่ว่า “นินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน” ตามความหมายนี้ก็คือใครอยากจะนินทาก็ปล่อยให้เขานินทาไป เพราะมันไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับเราเลยแม้แต่น้อย ก็เหมือนใครเอามีดไปกรีดหิน กรีดยังไงก็ไม่เข้าเพราะมันแข็ง นินทาก็นินทาไปเราไม่ได้เจ็บร้อนอะไรด้วยเลย             การนินทาคือ การตำหนิกล่าวหาลับหลัง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราผู้ที่ถูกนินทานั้นผิดหรือถูกยังไม่แน่ชัด แต่ก็ขอให้ได้พูดได้นินทาติเตียนไว้ก่อนเพื่อความสบายปาก ถ้าจะพูดถึงสาเหตุของการนินทาส่วนมากจะเนื่องมาจากความไม่กินเส้นกันหรือไม่ชอบขี้หน้า เช่น บางคนบางครั้งอาจจะทำตัวเด่นเกินหน้าคนอื่นไปบ้าง หรือกำลังชอบผู้หญิงหรือผู้ชายคนเดียวกันอยู่ก็เลยหาสาเหตุไปพูดเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหาย หรือไม่ก็อาจจะมีผลประโยชน์ขัดกัน หรือมีความคิดเห็นในบางเรื่องไม่เหมือนกัน มีอีกพวกหนึ่งไม่มีอะไรผิดพ้องหมองใจกันเลย เพียงแต่เป็นพวกประเภทปากอยู่ไม่สุข ถ้าได้นินทาก็จะสบายอกสบายใจ วันไหนไม่ได้นินทาใครก็คันปากไปทั้งวัน หรือบางคนชอบ “ให้ร้ายหรือใส่ร้ายป้ายสี”…

Continue reading

“ข่มตาหลับไม่ลง”

ทุกคนคงเป็นเหมือนกัน คือ เวลาที่เรามีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล เราจะหลับตานอนไม่ลง เพราะเรื่องต่างๆ เหล่านั้นที่เกิดขึ้นกับเรามันจะคอยรบกวนให้เกิดความวิตกกังวลสารพัดจนกระทั่งข่มตาหลับไม่ลง ต่อให้ง่วงยังไงก็ยังหลับไม่ลงอยู่ดี             สิ่งที่ว่านี้ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน จนทำให้กลายเป็นปัญหาที่มาของความเครียด นักจิตวิทยาบอกว่าเมื่อเราเข้านอนพอดับไฟทุกอย่างรอบตัวเราจะมีแต่ความมืดและความเงียบ ในเวลานี้เองเป็นจังหวะที่เหมาะต่อภาพแห่งปัญหาทุกข์ร้อนทั้งหลายจะเข้ามาในความคิดของเราได้อย่างชัดเจนกว่าเวลาอื่นได้ และในความชัดเจนดังกล่าวนี้จะย้ำเน้นให้เราเห็นชัดเจนทำให้เกิดสิ่งที่หนักกว่าปกติเพราะปราศจากเสียงรบกวนหรือเสียงแทรกให้เสียสมาธิ ทั้งยังมีความ “เงียบ” เข้ามาช่วย “ความมืด” อีกด้วย ก็ยิ่งเหมือนถูกบังคับให้เราคิดหนักไปในทางเลวร้ายมากกว่าเวลาปกติเสียอีก สุดท้ายก็กลายเป็นคนคิดมากเต็มไปด้วยความวิตกกังวลสารพัด ยิ่งถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งด้วยแล้วความเครียดจะเข้ามาครอบงำได้ง่าย สาเหตุที่ข่มตาหลับไม่ลงอีกอย่างก็คงจะเป็นเพราะคนที่มีความจริงจังต่อชีวิตและการทำงาน มุ่งมั่นตั้งใจต้องการจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความ “สำเร็จ” และด้วยความจริงจังนี้แหละทำให้เกิดความกังวลห่วงใยในสิ่งที่ตนกำลังทำ จนกลายเป็นความวิตกกังวลต่อความผิดพลาดล้มเหลวที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้คิดหนักคิดมากจนกระทั่งเวลาเข้านอนก็ยังข่มตาให้หลับไม่ลง จนทำให้บางคนกลายเป็นโรคนอนไม่หลับไปก็มาก             พระวจนะธรรมคัมภีร์ได้บอกถึงสาเหตุของความเหน็ดเหนื่อยจากความวิตกกังวลต่อสภาวะการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น…

Continue reading