“ตุ๊กตาชีวิต”

ได้มีการเปรียบเทียบชีวิตของคนไว้ว่า คนบางคนทำตัวเป็นเหมือนตุ๊กตาชีวิต คือ รูปกายภายนอกนั้นมีชีวิตที่ไม่ยอมเปลี่ยนเคยเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ส่วนภายในก็มีชีวิตจิตวิญญาณเหมือนคนอื่นๆ น่าคิดนะครับ

ต้องยอมรับว่า บางคนเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คือเขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแป็นอย่างไรก็คงเป็นอย่างนั้น มันก็เหมือนกับตุ๊กตานั่นแหละ เขาทำมารูปแบบไหน สีสัน เป็นอย่างไรขนาดเล็กขนาดใหญ่ เสื้อผ้าแบบไหนก็เป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยน ใครเขาจะเปลี่ยนชีวิตอย่างไรก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนให้ดีขึ้นหรือแปลกใหม่ขึ้นอย่างคนอื่นเขาบ้าง จนกลายเป็นคนตกยุค อะไรดีๆ เข้ามาคนอื่นคว้าเอาไปหมด โดยคนที่ทำตัวเป็นเพียงตุ๊กตาชีวิตที่มีแค่เพียงชีวิตและลมหายใจไม่เคยคิดจะดิ้นรนไขว่คว้าแสวงหาสิ่งดีๆ มาเสริมสร้างให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตของตนบ้างเลย ซึ่งคนดังกล่าวนี้จะพูดเสมอว่าสิ่งที่เขามีและสิ่งที่เขาเป็นอยู่นั้นมีความเหมาะสมและสมบูรณ์พอเพียงสำหรับเขาแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมแต่อย่างใดทั้งสิ้น

นี่คือคนประเภทที่ทำตัวเป็น “ตุ๊กตาชีวิต” ที่ถูกออกแบบให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงส่วนหนึ่งส่วนใดให้ต่างไปจากเดิมแม้แต่น้อยนิด

แต่ตามหลักความเป็นจริงนั้น ความเป็นคนมีชีวิตจิตใจจะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชีวิตในทุกๆ ส่วนให้ดีขึ้นกว่าเดิมอยู่เสมอ หากนิ่งสนิทเมื่อใดชีวิตคนๆ นั้นก็ไม่ต่างไปจาก “ตุ๊กตา” หากจะต่างก็เพียง “ตุ๊กตา” นั้นไม่มีชีวิต ส่วนคนที่ไม่ยอมมีการเปลี่ยนและพัฒนาชีวิตเลยนั้นก็เป็นแค่ตุ๊กตาที่มีชีวิตเท่านั้นเอง แต่ถ้าจะมีชีวิตที่หยุดนิ่งอย่างที่ว่านี้ มันก็ไม่ต่างไปจากตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

ดังนั้น เราต้องเป็นคนที่มีการเคลื่อนไหว ในการปรับปรุงชีวิตให้เกิดคุณค่าที่มีผลต่อตัวเอง และต่อสังคมรอบตัวเราตลอดเวลาไม่มีการหยุดนิ่ง ขยับทั้งสติปัญญาการกระทำที่สร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งความคิดการกระทำและความเชื่อ อันจะนำไปสู่ผลที่ดีที่เป็นรูปธรรมต่อชีวิตและส่วนรวม หากทำได้เช่นนี้ก็จะนำไปสู่ชีวิตที่รุ่งโรจน์พบความสำเร็จ และมีพระพรในชีวิตส่วนตัวและส่วนรวม และยังเป็นการดำเนินชีวิตที่ตรงกับหลักความจริงในพระวจนะธรรมที่ยืนยันว่า “เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น” (สดุดี 1:3) และพระเจ้าทรงสัญญาไว้เช่นกันว่า “แขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น” (ยอห์น 15:2) เพราะพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยอห์น 15:5)

ชีวิตที่เกิดผลคือชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่ชีวิตที่ไม่เกิดผลก็ไม่ผิดอะไรกับตุ๊กตาตัวหนึ่งเท่านั้น

โดย: อาจารย์อำนวย  เรืองชาญ

นักจัดรายการวิทยุ “เพื่อคุณกำลังใจ”

องค์การก้าวไปสู่ความสว่าง

Comments are closed.