“ข้อคิดจากเศษกระดาษ”

กำลังเก็บกวาดเศษขยะภายในบ้านก็เหลือบไปเจอกระดาษแผ่นหนึ่ง หยิบขึ้นมาอ่านมีข้อความดังนี้ “ถ้าคิดว่ายังไหวจงอย่าหยุด ถ้ารู้ว่าดึงถึงที่สุดก็อย่าฝืน” เป็นหลักปรัชญาของกีฬา “ชักเย่อ” ที่แข่งขันการดึงเชือกของนักกีฬาที่อยู่คนละปลายเชือกต้องออกแรง “ดึง” สู้กับอีกฝ่ายเพื่อเอาชนะให้ได้

            ถ้าจะนำมาเปรียบกับคนเราที่เป็นเหมือนนักชักเย่อที่วันต่อวันเราต้องออกแรง “ดึง” สู้ชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามสารพัด แม้ไม่อยากสู้ก็ตามแต่จำเป็นต้องสู้เพื่อความอยู่รอดของชีวิต หยุดหรือยอมแพ้เมื่อไรเราก็จะไม่มีที่ยืนในสังคมโลกเหมือนคนอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องสู้จนกระทั่งหมดลมหายใจโน่นแหละถึงจะหยุดได้ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงต้องมีหลักในการสู้กับชีวิต และปรัชญาแห่งการต่อสู้ของกีฬาชักเย่อก็น่าจะนำมาใช้ได้สำหรับการต่อสู้กับ “ชีวิต” ของเราบ้าง

            ทุกคนที่เกิดในโลกนี้ล้วนแต่ต้องมีหน้าที่และภาระของการเป็น “นักสู้ชีวิต” โดยไม่มีเว้นแม้แต่คนเดียว เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตายของชีวิตเพื่อให้อยู่รอดปลอดภัย จากหลักปรัชญาของการต่อสู้ของนักกีฬาชักเย่อที่ผมได้พบบนแผ่นกระดาษแผ่นนั้นได้บอกเป็นข้อคิดไว้ว่า หลักของการออกแรงสู้นั้นทำอย่างไรเราจึงจะเป็นผู้ชนะได้ จะสู้อย่างไรสู้เพื่อยู่หรือสู้จนตาย? ในปรัชญานักชักเย่อบอกไว้ว่า “สู้เต็มกำลังที่เรามีอยู่ สู้ไปเรื่อยๆ สู้ตามวิถีทางที่เราตั้งใจไว้ แต่อย่าฝืนสู้จนเกินกว่ากำลังของเราจะรับได้” ถามตัวเองตลอดระยะเวลาที่กำลังสู้อยู่ว่า ยังไหวไหม ถ้าไหวก็สู้ต่อ เต็มที่เต็มกำลัง อย่าหยุดหรือคดจะหยุด เพราะถ้าเรายังไหวเดินหน้าต่อไปอีกไม่นานเราก็จะชนะได้ แต่ถ้าถึงจังหวะหนึ่งของการต่อสู้ เราเกิดเพลี่ยงพล้ำเพราะแรงหมดหรือสิ่งที่เรากำลังออกกำลังอยู่นั้นแรงกว่า เราก็อย่าฝืนต้องถามตัวเองว่าจะเอายังไงต่อ เพราะเมื่อดึงจนถึงที่สุดของกำลังที่มีอยู่แล้ว แต่แรงมันเริ่มอ่อนลงเพราะถูกรุกหนักเหลือเกิน เราเท่านั้นที่จะบอกได้ดีที่สุดว่า เรายังไหวหรือไม่ไหว เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเราได้สู้ด้วยใจเต็มร้อยออกแรงจนถึงที่สุดจริงๆ แล้ว อย่าฝืน! พักเอาไว้ก่อนเพื่อรอโอกาสหน้าเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ ปรับกลยุทธ์ให้ดีและรอบคอบรัดกุมกว่าเดิม เพิ่มพลังกายพลังใจให้เต็มอัตราศึก ออมแรงไว้สู้ใหม่ประสบการณ์คราวนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญที่จะนำไปสู่ชัยชนะในคราวหน้าและโอกาสใหม่ ที่รอเราผู้เป็นนักสู้อยู่เสมอ เราหยุดครั้งนี้ไม่หมายความว่าเรา “แพ้” แต่เป็นเพียงการถอยเพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหน้าสู้ครั้งใหม่ที่เรา “พร้อม” กว่าครั้งแรกต่างหาก ถอยเพื่อปรับกลยุทธ์ใหม่ไม่ใช่เพราะยอมแพ้หรือแพ้แล้วแพ้เลย แต่ถอยเพื่อชัยชนะในครั้งหน้าจนกว่าเราจะชนะ เมื่อเราหยุดเพราะเราไม่ต้องการจะ “ฝืน” ดึงดันเพราะกลัวเสียหน้าหรือกลัวถูกเยาะเย้ย เพราะเราต่างหากที่รู้ความจริงที่เราต้อง “หยุด” นั้นคืออะไร? อย่าลืมว่าชัยชนะของนักสู้ชีวิตไม่ใช่จะได้มาจากการต่อสู้เพียงครั้งเดียวครั้งแรกเสมอไป วันหน้าโอกาสใหม่ยังรอเราอยู่เสมอถ้า “เราไม่ถอดใจยอมแพ้” เสียก่อน

“อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร” (กาลาเทีย 6:9)     

”ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง” (มัทธิว 19:26)

โดย: อาจารย์อำนวย  เรืองชาญ

นักจัดรายการวิทยุ “เพื่อคุณกำลังใจ”

องค์การก้าวไปสู่ความสว่าง

Comments are closed.