“หันหน้าเข้าหากัน”

  เราเป็นอยู่อย่างนี้หรือเปล่าครับ เรากำลังตกอยู่ในสภาพที่กำลังหันหลังให้กับใครสักคนอยู่หรือเปล่า? หรือในทางกลับกัน มีใครสักคนกำลังหันหลังให้กับคุณอยู่หรือเปล่า? ถ้าหากมีจะด้วยเหตุผลหรือสาเหตุใดก็ตาม ผลเสียย่อมจะมีมากกว่าผลดีแน่นอน มาดูง่ายๆ ถ้าเราหันหลังให้กับใครสักคนหนึ่ง หน้าตาเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้ พูดคุยต่อหน้าต่อตาอย่างที่ควรจะเป็นก็ไม่ได้ จะหน้าบูดบึ้งหรือยิ้มแย้มหวานจ๋อยแค่ไหนก็ไม่เห็น จะใช้ได้ก็แค่เสียงส่วนการที่จะมองเห็นด้วยตานั้นถูกปิดสนิท ที่นี้ถ้าเราหันหน้าเข้าหากันเราจะเห็นความเป็นไปและความรู้สึกของกันและกันอย่างชัดเจน เราจะเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวานซึ้ง สายตาที่เปล่งเป็นประกายเต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจอันดีต่อกันและกัน เห็นและสัมผัสได้ด้วยตาและคำพูด ต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือใช่ไหมครับ นี่คือความแตกต่างระหว่างการที่เราหันหน้าเข้าหากันกับการหันหลังให้กัน

            สังคมโลกเต็มไปด้วยคนสองจำพวกนี้ เมื่อใดที่เรามีความแตกต่างหรือความไม่สมดุลของการคบหาที่หาจุดยืนของแต่ละฝ่ายไม่เจอ เราก็หันหลังให้กันทันที ไม่ยอมพูดจาคบหากันอีก สังคมที่ต่างคนต่างอยู่ก็ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ

            ต้องหันมาใส่ใจต่อปัญหานี้ คงจะเมินมองข้ามเพราะคิดว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาไม่ได้อีกแล้ว แก้ที่มันกำลังเกิดขึ้นกับเรานี่แหละ เราหันหลังเมินหน้าหนีไปจากใครบางคนที่เราไม่สบอารมณ์ เพราะทำอารมณ์ร่วมกันไม่ได้นั้น เปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนใจหันหน้าเข้ามาหากัน เรื่องที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดกันจะด้วยสาเหตุที่ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ปรับความเข้าใจกันใหม่เพื่อเราจะได้เริ่มหันหน้ามาสร้างความเข้าใจ สร้างความสัมพันธ์ดีๆ ต่อกันอีกครั้งหนึ่ง อะไรที่มันเคยเกิดขึ้นอภัยให้กันด้วยใจจริง ลืมไปให้หมดคิดเสียว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายที่ไม่ได้มีอะไรที่เป็นจริงต่อเราทั้งสองฝ่าย นำประสบการณ์แห่งความขมขื่นมาแปลงให้เป็นบทเรียน ป้องกันความบาดหมางไม่ให้เกิดขึ้นอีก สวมหัวใจแห่งรักแท้ที่ไม่รื้อฟื้นอดีตมาเป็นอุปสรรคของกันความรู้สึกที่ดีๆ ต่อกัน

            คิดอย่างนี้ดีกว่าครับ เราทุกคนมาจากเบ้าหลอมเดียวกันจากพระเจ้าอยู่ร่วมโลกเดียวกัน แม้จะต่างบ้านต่างครอบครัว แต่ก็เหมือนชายคาบ้านเดียวกัน มีอะไรก็ผ่อนหนักผ่อนเบา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกันและกัน ผิดพลาดก็ต้องอภัยด้วยความรัก เหมือนในพระวจนะธรรมได้กล่าวไว้ว่า “จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด  และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกันและอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” (เอเฟซัส 4:31-32)

            เมื่อเราหันหน้าเข้าหากันอีกครั้ง เราก็จะได้เห็นใบหน้าที่เป็นมิตรและได้เห็นสายตาที่ส่อประกายความรักความห่วงใย ในแววตาของกันและกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีความสุขอีกครั้ง

โดย : อาจารย์อำนวย  เรืองชาญ

นักจัดรายการวิทยุ “เพื่อคุณกำลังใจ” และ “บ้านนี้มีรัก”

องค์การก้าวไปสู่ความสว่าง

Comments are closed.