เศคาริยาห์ 4:6 – แล้วท่าน (ทูตสวรรค์) จึงตอบข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ”
ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องเก่าแก่ให้ฟัง ชนชาติอิสราเอลกลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลนสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา และกำลังพยายามสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ในเยรูซาเล็ม แต่เขาต้องเผชิญกับอุปสรรคทุกด้านที่ดูเหมือนจะผ่านพ้นไปไม่ได้ อำนาจและกำลังทั้งหมดดูเหมือนจะอยู่ฝ่ายศัตรู ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาโหยหากองทัพที่เคยต่อสู้อย่างกล้าหาญภายใต้การบังคับบัญชาของกษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อที่เขาจะได้บดขยี้ฝ่ายตรงข้าม
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงมีข่าวสารถึงเซรุบบาเบล ผู้ว่าราชการของเขา ซึ่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งส่งถึงเศคาริยาห์ ผู้เผยพระวจนะ ข่าวสารนั้นเปี่ยมไปด้วยความหวัง เซรุบบาเบลท้อแท้สิ้นหวังจนคิดที่จะยอมแพ้การคุกคามที่มุ่งทำลายโครงการก่อสร้างพระวิหารทั้งหมด กระนั้น เวลาก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามีหนทางที่จะฝ่าฟันความยากลำบากนี้ไปได้ และสันติสุขจะเกิดขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า
นิมิตแห่งสันติภาพสากลและถาวรนั้นเก่าแก่ยาวนานเหมือนภูเขา นิมิตเหล่านี้ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ได้ไกลกว่าคืนที่ทูตสวรรค์นำข่าวสารแห่งสันติภาพบนโลกมาสู่เหล่าคนเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้าแห่งเบธเลเฮม (ดู ลูกา 2:8-20) ก่อนหน้านั้น อิสยาห์ได้กล่าวถึงช่วงเวลาในตอนต้นของหนังสือของท่านว่า “ประชาชาติจะไม่ยกดาบต่อสู้กันอีก เขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป” (อิสยาห์ 2:4ข)
แต่ความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างแต่ละประเทศนั้น แน่นอนว่าย่อมส่งผลถึงเราแต่ละคนในระดับปัจเจกบุคคลด้วย ใช่ไหม มีคนในเมืองของข้าพเจ้าที่รักได้ยากยิ่ง แต่เมื่อข้าพเจ้ายืนอยู่ที่เชิงเขากลโกธาและได้ยินพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ทรงรักข้าพเจ้ามากพอที่จะสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้า พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าขณะที่พระองค์ทรงชี้ไปยังมนุษย์ทุกคนว่า: “คนเหล่านี้คือลูกๆ ของเราที่เรายอมตายเพื่อพวกเขา จงรักพวกเขา ประกาศพระกิตติคุณแก่พวกเขา อธิษฐานเผื่อพวกเขา และช่วยเหลือพวกเขาในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้” เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เห็นว่าความจริงของพระเจ้าถูกนำกลับมาสู่ข้าพเจ้าในระดับส่วนตัว
เมื่อข้าพเจ้าใคร่ครวญถึงการที่พระคริสต์ทรงทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์เพื่อบาปทั้งปวง ทั้งบาปของข้าพเจ้าเองและบาปของคนบาปที่ต่ำต้อยที่สุด หัวใจที่แข็งกระด้างของข้าพเจ้าก็เริ่มอ่อนลง เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงดำเนินอยู่ภายในตัวข้าพเจ้า ความเกลียดชังที่ข้าพเจ้ามีต่อผู้อื่นก็เริ่มลดน้อยลง อำนาจชั่วร้ายที่ครอบงำจิตใจและอารมณ์ของข้าพเจ้าก็อ่อนลง ความรักแบบคริสเตียนไม่ได้บังเกิดขึ้นเอง แต่พระวิญญาณของพระเจ้าต่างหากที่หล่อหลอมและเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น (ดู ยอห์น 16:12-15; 2 โครินธ์ 3:16-18; ฟีลิปปี 2:1-18)
พูดง่ายๆ ก็คือ “ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย” (1 ยอห์น 4:11) นี่คือจุดเริ่มต้นของเรา คือ การแสดงความรักต่อผู้อื่นอย่างใจกว้าง ปรารถนาให้เขามีส่วนร่วมในความหวังแห่งพระกิตติคุณและความยินดีแห่งความเชื่อคริสเตียน เราอาจพบว่าตัวเองขัดแย้งกับโลก แต่พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถหล่อหลอมเราจากภายในสู่ภายนอก ให้ความปรารถนาที่จะรักและเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น
เราอธิษฐาน: พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รักศัตรูของข้าพระองค์ ในพระนามพระเยซู อาเมน
คำถามเพื่อการใคร่ครวญ:
- คุณเคยมีส่วนร่วมในโครงการก่อสร้างของคริสตจักรหรือไม่ โครงการนั้นเป็นอย่างไร
- เพราะเหตุใดชาวยิวที่เดินทางกลับมาเพื่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ในเยรูซาเล็มจึงมีความสำคัญ
- คุณอธิษฐานเผื่อคนที่คุณไม่ชอบหรือไม่ นั่นมีส่วนช่วยอย่างไร
© : Lutheran Hour Ministries