“เมื่อถูกซุบซิบนินทา”

  เกิดเป็นคนถ้าไม่เคยโดนนินทาก็คงจะไม่ใช่คน เพราะตามความเป็นจริงทุกคนคงเคยโดนคนนินทาแล้วทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างก็สุดแต่ใครจะโดน มันก็เหมือนที่ว่า “นินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน” ตามความหมายนี้ก็คือใครอยากจะนินทาก็ปล่อยให้เขานินทาไป เพราะมันไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับเราเลยแม้แต่น้อย ก็เหมือนใครเอามีดไปกรีดหิน กรีดยังไงก็ไม่เข้าเพราะมันแข็ง นินทาก็นินทาไปเราไม่ได้เจ็บร้อนอะไรด้วยเลย

            การนินทาคือ การตำหนิกล่าวหาลับหลัง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราผู้ที่ถูกนินทานั้นผิดหรือถูกยังไม่แน่ชัด แต่ก็ขอให้ได้พูดได้นินทาติเตียนไว้ก่อนเพื่อความสบายปาก ถ้าจะพูดถึงสาเหตุของการนินทาส่วนมากจะเนื่องมาจากความไม่กินเส้นกันหรือไม่ชอบขี้หน้า เช่น บางคนบางครั้งอาจจะทำตัวเด่นเกินหน้าคนอื่นไปบ้าง หรือกำลังชอบผู้หญิงหรือผู้ชายคนเดียวกันอยู่ก็เลยหาสาเหตุไปพูดเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหาย หรือไม่ก็อาจจะมีผลประโยชน์ขัดกัน หรือมีความคิดเห็นในบางเรื่องไม่เหมือนกัน มีอีกพวกหนึ่งไม่มีอะไรผิดพ้องหมองใจกันเลย เพียงแต่เป็นพวกประเภทปากอยู่ไม่สุข ถ้าได้นินทาก็จะสบายอกสบายใจ วันไหนไม่ได้นินทาใครก็คันปากไปทั้งวัน หรือบางคนชอบ “ให้ร้ายหรือใส่ร้ายป้ายสี” ทั้งที่เจตนาหรือไม่เจตนาก็มี บางทีการนินทาก็เกิดจากความอิจฉา พอเห็นใครทำอะไรดีๆ ขึ้นมาก็เกิดการอิจฉาริษยากลัวเขาจะได้ดี ยังงี้ก็มี สรุปแล้วห้ามอะไรห้ามได้แต่คำคนที่เขาอยากจะนินทาก็ปล่อยเขาไป นึกเสียว่าช่วยให้ได้ระบายความอึดอัดจะได้ไม่ต้องมาอกแตกตายก็แล้วกันครับ

            พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ได้กล่าวถึงการนินทาว่า “ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนชิ้นอาหารอร่อย มันล่วงเข้าไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย” (สุภาษิต 18:8) และอีกตอนหนึ่งกล่าวว่า “การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร  และการอื่นๆในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน  บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” (กาลาเทีย 5:21) นี่ก็ชัดเลยว่าคือ ตัวสำคัญที่ทำให้คนชอบนินทาใครต่อใครอย่างสนุกปากอยู่นั้น ก็มาจากความอิจฉานี่เอง

            คราวนี้ถ้าเราเจอปัญหาของการที่จะมีใครซุบซิบนินทาเราบ้าง เราควรจะทำอย่างไร ทำใจเย็นๆ ไม่ต้องไปเต้นตามเขา ไม่ต้องแสดงอาการใดๆ เมื่อมีคนมาบอกเราหรือเราได้ยินมา ไม่ต้องไปแก้ข้อกล่าวหานินทานั้นๆ ไม่จำเป็นจะต้องไปปกป้อง เราย่อมรู้ว่าสิ่งที่เขานินทานั้นเท็จจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ดีเสียอีกที่มีคนมาช่วยบอกเรา เพื่อเราจะได้นำข้อบกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขตัวเอง แต่ถ้าเรื่องที่เขานินทาไม่จริงก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไร ปล่อยให้มันหายไปกับสายลมก็แล้วกัน อย่าไปถือโทษโกรธเขาเลย ให้จำและนำมาปฏิบัติในทุกครั้งที่มีคนนินทา ก็คือคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่ตรัสว่า “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์” (มัทธิว 5:11-12)   ทำให้ได้ตามนี้ก็จบครับ

โดย: อาจารย์อำนวย  เรืองชาญ

นักจัดรายการวิทยุ “เพื่อคุณกำลังใจ” และ “บ้านนี้มีรัก”

องค์การก้าวไปสู่ความสว่าง

Comments are closed.